สิ่งที่คุณควรทำที่สนามบินเพื่อประหยัดเวลาและป้องกันปัญหาที่จะทำให้ต้องเสียเวลา

การเดินทางส่วนใหญ่เริ่มต้นที่สนามบินและมีหลายแง่มุมที่นักเดินทางต้องคำนึงถึงตั้งแต่การส่งสัมภาระและการตรวจข้ามชายแดน ซึ่งทุกคนรู้ว่าคุณไม่ควรมาช้า เล่นตลกเกี่ยวกับการสิ่งอันตรายในกระเป๋าเดินทาง หรือดื่มมากเกินไประหว่างเที่ยวบิน นอกจากนี้มีกฎอื่น ๆ ที่ไม่ได้กล่าวอย่างชัดเจนอีกหลายข้อ ซึ่งอาจทำให้คุณต้องใช้เวลาในสนามบินมากขึ้นส่งผลต่อการเดินทางของคุณซึ่งอาจตกอยู่ในความเสี่ยงได้

พวกเราต้องการแบ่งปันคำแนะนำจากนักเดินทางที่มีประสบการณ์และเปิดเผยถึงสิ่งที่คุณไม่ควรทำที่สนามบินเพื่อที่คุณจะได้ไม่เสียเวลาเดินทางตั้งแต่แรก

1. กะเวลามาให้ถึงสนามบินไม่เกิน 2-3 ชั่วโมงก่อนเที่ยวบิน
© Depositp Photos
สายการบินส่วนใหญ่จะเริ่มเปิดให้เช็คอินได้ 2 ชั่วโมงก่อนเวลาออกเดินทางสำหรับเที่ยวบินภายในประเทศ และ 2-3 ชั่วโมงก่อนเวลาออกเดินทางสำหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ ดังนั้นหากผู้โดยสารมาถึงก่อนหน้านี้ พวกเค้าจะต้องใช้เวลาอยู่บริเวณด้านนอกในบริเวณสถานที่เช็คอิน และรอจนกว่าพนักงานสายการบินจะเริ่มเปิดให้ทำการเช็คอิน สำหรับสนามบินบางแห่งจะมีพื้นที่หรือร้านค้าด้านนอก ก่อนเข้าเช็คอินให้คุณสามารถเดินเล่นหรืออาจจะมีบางสิ่งที่สร้างความบันเทิงในช่วงเวลารอได้ แต่สนามบินแบบนั้นมีน้อยมากดังนั้นยิ่งคุณมาถึงสนามบินก่อนเวลาเปิดเช็คอินมากเท่าไหร่ นั้นหมายความว่า คุณก็ต้องเสียเวลารอนานมากเท่านั้น ดังนั้น คุณควรคำนวนเวลาให้มาถึงสนามบินการประมาณ2-3 ชั่วโมงก็พอ

2. เก็บโทรศัพท์และเหรียญไว้ในถุงแยก
© Depositp Photos

หลังจากเช็คอิน ผู้โดยสารจะต้องผ่านจุดตรวจรักษาความปลอดภัยที่สนามบินพร้อมเครื่องตรวจจับโลหะ และพนักงานของสนามบินจะขอให้ผู้โดยสารใส่ของที่เป็นโลหะทั้งหมดเช่น เหรียญ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ลงในถาด หากคุณไม่ต้องการใช้เวลาอยู่ที่นั่นมากเกินไปเพียงแค่เอาสิ่งของโลหะทั้งหมดของคุณใส่ในถุงพลาสติกล่วงหน้าและวางไว้ในกระเป๋าเดินทางหรือกระเป๋าถือขึ้นเครื่อง สิ่งนี้จะช่วยทำให้คุณจัดการกับข้าวของได้สะดวกและรวดเร็วขึ้นมา และถ้าคุณเป็นคนที่ใส่เครื่องประดับเช่นแหวน หรือ สร้อยคอหรือต่างหูก็สามารถแบ่งใส่ถุงแยกไว้ได้ เช่นเดียวกัน

3. แจ้งเจ้าหน้าที่สายการบินเกี่ยวกับสัมภาระที่มีน้ำหนักเกิน
© Depositp Photos

สำหรับสนามบินบางแห่งจะมีเครื่องชั่งน้ำหนัก ภายในบริเวณพื้นที่เช็คอินซึ่งคุณสามารถทำการตรวจสอบน้ำหนักของกระเป๋าของคุณก่อนได้ เพราะถ้ามีน้ำหนักเกินคุณจะได้ทำการเตรียมพร้อมสำหรับการจ่ายเงินไว้ก่อน หรือคุณอาจจะจัดกระเป๋าใหม่โดยการนำสิ่งของบางอย่างถือขึ้นเครื่องไปเองเพื่อลดน้ำหนัก เพราะการที่จะนำสัมภาระไปฝากขึ้นเครื่องนั้น พวกมันทั้งหมดจะถูกชั่งน้ำหนักที่โต๊ะเช็คอิน ลองคิดดูสิว่าหากคุณจะต้องไปเสียเวลาจัดกระเป๋าใหม่ตรงจุดเช็คอินมันจะสร้างความอึดอันให้คุณได้มากแค่ไหน ถึงแม้ว่าบางครั้งพนักงานสายการบินก็อาจจะเพิกเฉยกระเป๋าที่มีน้ำหนักเกินเล็กน้อยและไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสำหรับผู้โดยสารก็ได้

4. ไม่ควรเก็บของมีค่าไว้ในกระเป๋าเดินทาง

จากการวิจัยที่ดำเนินการโดยหน่วยงานให้ข้อมูลของสวิสซิต้าในปี 2019 พบว่ากระเป๋าและกระเป๋าเดินทางเกือบ 4.5 ล้านใบได้รับความเสียหายในระหว่างการขนส่ง ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น คุณจึงควรเก็บสิ่งที่มีค่าและเปราะบางเช่น แล็ปท็อป กล่องเงิน กล้องถ่ายภาพ และเอกสารสำคัญไว้ในกระเป๋าพกพาของคุณและพกติดตัวขึ้นเครื่องไปเอง จะเป็นการสะดวกและปลอดภัยที่สุด

5. เก็บอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และของเหลวที่ด้านล่างของกระเป๋าของคุณ

© Depositp Photos

ในระหว่างการตรวจสอบความปลอดภัยในกระเป๋าโดยเจ้าหน้าที่ของสนามบิน ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นกับคุณเมื่อไหร่ก็ได้ พวกเขามักขอให้ผู้โดยสาร หยิบของเหลวและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด ใส่ลงในถาดแยกต่างหาก และถ้าคุณเก็บสิ่งของเหล่านี้ไว้ที่ด้านล่างของกระเป๋าจะเป็นเรื่องยากที่จะค้นหาสิ่งที่คุณต้องการ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียเวลาจากเหตุการณ์นี้ คุณสามารถทำได้โดยการจัดกระเป๋าอย่างถูกต้อง

  • ใส่เสื้อผ้าและรองเท้าของคุณไว้ด้านล่างของกระเป๋า
  • เก็บเอกสารและเงินของคุณไว้ในกระเป๋าเสื้อด้านใน
  • วางอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของคุณ (กล้อง, แล็ปท็อป, ฮาร์ดไดรฟ์, และแบตเตอรี่สำรอง) และของเหลว (ไม่เกิน 100 มล.) ในถุงใสและวางไว้บนอุปกรณ์
  • เก็บหูฟังและอุปกรณ์ชาร์จของคุณไว้ในกระเป๋าภายนอกขนาดเล็ก

6. ไม่เก็บเวชภัณฑ์ ต่างๆไว้ในกระเป๋าถือ

© Depositp Photos
ปริมาณของเหลวที่ถูกจำกัดในการถือขึ้นเครื่องคือ 100 มล. สำหรับสัมภาระนำติดตัว ยกเว้นเวชภัณฑ์ และอาหารสำหรับทารกที่ผู้โดยสารอาจต้องการในระหว่างเที่ยวบิน
นอกจากนี้ผู้โดยสารมีสิทธิ์พกพาสิ่งเหล่านี้ได้:

  • เทอร์โมมิเตอร์สำหรับวัดอุณหภูมิร่างกายที่ไม่มีปรอท
  • ปรอทวัดไข้บรรจุในภาชนะและปิดผนึกด้วยตราประทับพิเศษ
  • ปรอท tonometer (หนึ่งรายการต่อผู้โดยสาร) สำหรับวัดความดันโลหิตที่บรรจุในภาชนะพิเศษ
  • ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ -ไม่เกิน 100 มล. ของสารละลาย 3% ต่อผู้โดยสาร
  • ผ้าอ้อมใช้แล้วทิ้ง
  • เวชภัณฑ์ที่มีใบสั่งแพทย์จากแพทย์

7. อย่าห่อกระเป๋าถือของคุณด้วยพลาสติก

© Depositp Photos
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมีสิทธิ์เปิดกระเป๋าสัมภาระของผู้โดยสารเพื่อตรวจสอบสิ่งที่อยู่ภายใน ถ้าหากคุณคลุมกระเป๋าด้วยแผ่นพลาสติก อาจทำให้ขั้นตอนง่าย ๆ นั้นกลายเป็นยากขึ้นสำหรับตัวคุณเอง และคุณเสี่ยงที่จะเสียเวลาไปกับการตรวจสอบความปลอดภัยแบบเข้มข้น

8. ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับรังสีจากเครื่องสแกนร่างกาย

© AFP / East News
เครื่องสแกนของสนามบินมี 2 ประเภทคือ

  • เครื่องสแกนที่สนามบินมีอยู่นั้นที่เรียกว่าเครื่องตรวจจับเอกซเรย์ โดยการใช้รังสีของเครื่องจะทำงานโดยไม่ได้ส่งผ่านร่างกายมนุษย์ แต่จะถูกสะท้อนกลับออกมา เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถเห็นสีที่แตกต่างกันบนจอแสดงผล ซึ่งแสดงมวลของวัตถุที่อยู่บนร่างกายที่มีความหนาแน่นแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น กล้ามเนื้อในภาพจะมีสีอ่อน ในขณะที่โลหะจะมืด
  • เครื่องสแกนแบบไมโครเวฟที่มีลักษณะหมุนเหมือนเสาอากาศ: มันทำงานโดยใช้คลื่นมิลลิเมตรและสร้างภาพที่ชัดเจนและสมจริงยิ่งขึ้นบนหน้าจอ
    ผู้ผลิตให้คำมั่นสัญญาว่าเครื่องสแกนเหล่านี้ปลอดภัยต่อสุขภาพของผู้โดยสาร เนื่องจากพลังของเครื่องอันแรกนั้นเปรียบได้กับปริมาณรังสีที่ผู้โดยสารได้รับระหว่างเที่ยวบิน 2 นาทีและอันที่สองเปรียบเทียบกับรังสีจากสมาร์ตโฟนของคุณ

 

9. อย่าพยายามโต้เถียงกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ในกรณีที่เจ้าหน้าที่แจ้งถึงสิ่งของที่ไม่สามารถนำขึ้นเครื่องได้
ผู้โดยสารหัวร้อนมักจะไม่สามารถทนต่อแรงกดดันและเริ่มโต้เถียงกับเจ้าหน้าที่สนามบิน แต่การใช้อารมณ์นี้สามารถทำให้การเดินทางของพวกเขาจบลงได้ หากผู้โดยสารปฏิเสธที่จะผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยหรือทำสิ่งคุกคาม เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจะโทรแจ้งตำรวจและส่งผู้โดยสารให้กับพวกเขา นอกจากกฎสำหรับการขนส่งของเหลวมีการระบุไว้อย่างชัดเจนทุกที่: บนเว็บไซต์ของสนามบิน และสายการบินที่สำนักงานขายตั๋วและแม้กระทั่งบนเครื่องเอง อย่างไรก็ตามมีผู้โดยสารที่ยังคงต้องการที่จะแอบนำน้ำหอมหรือครีมอันโปรดไว้ในกระเป๋าถือของพวกเขาแม้ว่าจะมีปริมาณเกิน 100 มล. สำหรับบางประเทศยังอาจจะมีสิ่งอื่น ๆ ที่ไม่พกติดตัวขึ้นไปบนเครื่องอีก เช่น อาหารที่มีกลิ่นแรก หรือ วัตถุที่ดูเป็นอันตราย โปรดอย่าลืมว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสามารถยึดผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้หรือไม่ปล่อยให้พวกเขาขึ้นเครื่องแม้ว่าผู้โดยสารไม่ยอมก็ตาม ดังนั้นทางที่ดีกว่าคือสอบถามถึงการจัดการกับสิ่งของเหล่านี้แทนจะเป็นการดีกว่า เช่น สอบถามว่าคุณสามารถนำสิ่งของเหล่านี้ไปส่ง ไปรษณีย์ ไปที่บ้านของคุณ หรือ ทางสนามบินมีบริการอะไรบ้างในการช่วยเหลือ นอกจากที่จะต้องทิ้งสิ่งของเหล่านั้น เพราะยิ่งคุณโต้เถียงก็อาจจะยิ่งเจอ ขั้นตอนอื่นที่ทำให้ผู้โดยสารเกิดความไม่พอใจที่สุด ได้แก่ การตรวจสอบความปลอดภัยที่ยาวนาน ต้องผ่านการสแกนเฟรมและความพิถีพิถันของพนักงานมากเกินไป หมายเหตุ : ผู้โดยสารบางคนอาจจะคิดว่ามันน่ารำคาญที่ต้องถอดเข็มขัดและรองเท้าบูต แต่ที่ต้องทำแบบนี้เพราะว่าเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2544 ริชาร์ด รีด พยายามพกสิ่งอันตรายในรองเท้าบูตส้นสูง และโชคดีที่เขาถูกจับได้ซะก่อนที่จะขึ้นเครื่องและตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาสนามบินจึงต้องสแกนรองเท้าของผู้โดยสารเพิ่มขึ้น

10. ไม่ตรวจสอบตารางการออกเดินทาง
เวลาออกเดินทางและหมายเลขประตูระบุไว้ในบัตรผ่านขึ้นเครื่องของคุณ แต่บ่อยครั้งที่พวกมันอาจจะถูกเปลี่ยนแปลงจุดที่จะทำการขึ้นเครื่องร่วมถึงระยะเวลา แต่เพราะผู้โดยสารที่เดินทางมาถึงล่วงหน้ามักใช้เวลาสองสามชั่วโมงในร้านค้าปลอดภาษี และลืมตรวจสอบตารางการออกเดินทางที่ประกาศแจ้งเป็นระยะ ๆ  ซึ่งนั้น จะทำให้คุณอาจจะเดินทางไปผิดจุด และ กลับมาขึ้นเครื่องไม่ทันเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ให้ตั้งกฎในการตรวจสอบตารางการออกเดินทางทุก ๆ 15-20 นาทีเพื่อดูว่าเวลาและหมายเลขประตูมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่

11. การพยายามออกจากเครื่องบินให้เร็วที่สุด
© Unsplash
ผู้โดยสารอาจมีพฤติกรรมเร่งรีบเช่นนี้ เพราะพวกเขาต้องต่อเครื่อง พวกเขามีรถรับส่งรออยู่ หรือไม่ก็ทนรอที่จะออกจากเครื่องบินไม่ได้ เพราะจากการเดินทางด้วยเที่ยวบินที่ยาวนาน แต่อย่างไรก็ตาม คุณไม่ควรอย่างยิ่งที่จะผลักคนอื่นเพื่อให้ได้ออกจากเครื่องบินได้ก่อน โดยเฉพาะถ้าคุณนั่งด้านหลัง ดังนั้นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือการนั่งนิ่ง ๆ และรอให้ถึงคิวคุณออกเพราะคุณจะมีทั้งพื้นที่และเวลามากพอที่จะตรวจเช็คสิ่งของที่คุณนำติดตัวมาด้วยเพื่อที่จะไม่ลืมมันไว้บนเครื่องบิน

12. เตรียมพร้อมสำหรับการตอบคำถามง่าย ๆ ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง
ลองคิดดูว่า หากคุณเตรียมและลองตอบคำถามเหล่านี้ล่วงหน้า วิธีนี้คุณจะดูมั่นใจมากขึ้นและประหยัดเวลาในขั้นตอนการตรวจหนังสือเดินทาง

  • การเดินทางของคุณมีวัตถุประสงค์อะไร?
  • คุณตั้งใจจะอยู่นานเท่าไหร่?
  • คุณจะพักที่ไหน (เตรียม แสดง email หรือ พิมพ์ตารางการจองห้องพัก)
  • อาชีพของคุณคืออะไร
  • คุณมีสินค้าต้องห้ามที่จะแจ้งไหม

นอกจากนี้การพิมพ์รายละเอียดตั๋วขากลับ และการจองโรงแรมของคุณ จะเป็นประโยชน์มากหากคุณ ไม่สามารถสื่อสารด้วยภาษาที่คุณถนัด เนื่องจากเจ้าหน้าที่ชายแดนอาจขอดูหลักฐานการยืนยันอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับแผนการเดินทางของคุณ นอกจากนี้ควรเขียนที่อยู่ของโรงแรมลงบนกระดาษในกรณีที่เจ้าหน้าที่สอบถามเกี่ยวกับสถานที่ที่แน่นอนที่คุณจะพัก

13. อย่าพูดมากเกินไปเมื่อเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจหนังสือเดินทาง
หนึ่งในภารกิจของเจ้าหน้าที่ คือการติดตามแรงงานผิดกฎหมายและผู้อพยพ ดังนั้นคำถามส่วนใหญ่ที่พวกเขาจะถามนั้นจะเกี่ยวกับสิ่งที่คุณวางแผนที่จะทำในระหว่างเดินทางมา หรืออาจจะถามถึงเพื่อนหรือญาติในประเทศ ทั้งนี้เจ้าหน้าที่พยายามที่จะกำหนดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเข้าประเทศของคุณ ดังนั้นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดคือไม่คุยกับเจ้าหน้าที่มากนักและตอบคำถามสั้น ๆ แบบเป็นมิตร ตัวอย่างเช่น “ฉันเป็นนักท่องเที่ยว ฉันจะอยู่ในประเทศเป็นเวลาสิบวัน และฉันต้องการเห็นสิ่งนี้และสิ่งนั้น” นั้นเหมาะอย่างยิ่งสำหรับสถานการณ์ส่วนใหญ่
จากประสบการณ์ของคุณ คุณจะแนะนำให้หลีกเลี่ยงสถานการณ์ในลักษณะใดที่สนามบิน

ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก brightside เรียบเรียงโดย BTW