พวกเราหลายคนเคยคิดย้อนกลับไปตอนที่ยังเด็กเรียนหนังสืออยู่บ้างหรือเปล่า พวกเรา BTW ต้องบอกเลยว่าทุกวันนี้นั้นพวกเราก็ยังคงอยากที่จะย้อนกลับไปในวันนั้นอีกครั้งแทบจะทั้งหมดในที่ทำงานเลยที่คิดแบบนี้ นั้นก็เพราะว่าช่วงเวลานั้นพวกเรานั้นแทบจะไม่ต้องรับผิดชอบออะไรเลยในแต่ละวันเราแค่ตื่นแต่เช้าออกไปโรงเรียนถึงชั่วโมงเรียนมันจะช่างน่าเบื่อหน่ายก็ตาม แต่แค่พวกเราพยายามทำความเข้าใจในห้องเรียนและกลับมาทำการบ้านตามที่ได้รับมาจากอาจารย์นั้นแหละคืองานที่เราจะต้องทำในช่วงนั้น แต่ที่เราอยากจะย้อนกลับไปไม่ได้เพราะเราอยากเรียนหนังสือหรอกนะแต่เราอยากจะใช้ช่วงเวลาที่เหลือจากการที่เราเรียนหรือทำการบ้านนั้นแหละ เพราะตอนนั้นไม่ว่าเราจะออกไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนเพื่อนหรือทำอะไรสนุกสนุกที่เราคิดได้ในวันหยุดหรือแม้แต่ในวันธรรมดาก็แค่รอเวลาที่ระฆังโรงเรียนจะบอกว่าหมดคาบสุดท้ายแล้ว เท่านั้นเองเราก็จะสามารถไปทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างสบายแล้วละ แต่มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้เพราะความจริงก็คือเราผ่านเวลานั้นมาแล้ว และตอนนี้เราก็ต้องมาทำงานเพื่อรับผิดชอบสิ่งต่าง ๆ เหมือนผู้ใหญ่ธรรมดาทั่วไปกันแล้ว ถึงมันจะไม่ค่อยเป็นสิ่งที่เราชอบแต่เราก็ต้องทำมันอยู่ดีนั้นแหละ และเรื่องราวในที่ทำงานของเรานี้แหละที่กลายเป็นชีวิตส่วนใหญ่ของพวกเราไปซะแล้ว
วันนี้พวกเราก็เลยอยากจะหยิบยกเอาเรื่องราวและเทคนิคต่าง ๆ ที่เราได้เรียนรู้และได้นำมันมาใช้ในที่ทำงานทั้งเพื่อขอให้คนอื่นๆ ช่วยเหลือเราหรืออาจจะเป็นเทคนิคในการทำให้คนอื่นใช้เราให้น้อยลง เป็นยังไงบ้างละน่าสนใจขึ้นมาไหมละ ถ้าเพื่อนๆสนใจก็ไปลองฟังกันเลยดีกว่านะ
พวกเราจะทำอย่างไรถ้าคุณถูกคนอื่นเอาเปรียบ ผู้ซึ่งทำให้คุณต้องสงสัยกับการตัดสินใจของคุณเอง และพยายามทำให้คุณเข้าข้างเขา
การให้สิ่งของเล็กน้อยก่อนที่จะขอให้ช่วยจะทำให้คนที่เราขอนั้นยอมช่วยเราทั้งที่เค้าอาจจะไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่นัก
เพื่อนเพื่อนที่ต้องทำงานประสานงานกับหน่วนงานต่าง ๆ หรือต้องทำงานร่วมกับใครหลายหลายคนในที่ทำงานทั้งในและนอกแผนก พวกเราอยากให้เพื่อนเพื่อนลองทำสิ่งนี้ดูสักหน่อย นั้นก็คือการมีของฝากเล็กๆน้อยๆไปฝากเพื่อนเพื่อนหรือคนที่คุณจะต้องร่วมด้วยหรืออาจจะต้องขอความร่วมมือในอนาคตโดยอาจจะเป็นขนมหรืออาจจะน้ำดื่มสักแก้วก็ยังได้โดยทำเป็นครั้งคราวแต่ให้ทำสม่ำเสมอทุกเดือน และเมื่อถึงคราวที่คุณต้องการความช่วยเหลือจากเค้าเหล่านั้นก็อาจจะหยิบขนมคบเคี้ยวเล็กๆน้อยๆติดมือไปมอบให้เค้าเหล่านั้นอีกครั้งหนึ่งก่อนจะขอให้พวกเค้าเหล่านั้นช่วยเหลือ ด้วยความรู่สึกบางอย่างภายในจิตใจของอีกฝ่ายที่เคยได้รับสิ่งของต่าง ๆ นั้นจะทำให้เค้ารู้สึกสบายใจที่จะช่วย หรือถึงแม้จะไม่อยากช่วยก็ตามแต่เค้าก็จะรู้สึกลึกๆว่าปฏิเสธไม่ได้จนต้องยอมช่วยเหลือ
ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะเมื่อเราได้รับสิ่งของจากอีกฝ่ายหนึ่งบ่อยครั้งพวกเราจะรู้สึกเหมือนกันมีสายสัมพันธ์ที่ดีขึ้นทั้งกับเพื่อนที่สนิทก็จะยิ่งสนิทมากขึ้นและกับคนที่อาจจะไม่อยากสนิทกับเราก็ยังให้ความเกรงใจ นั้นจึงทำให้เกิดความรู้สึกเต็มใจในการช่วยเหลือหรือไม่กล้าปฏิเสธนั้นเอง แต่อย่าลืมว่าสิ่งที่เราขอนั้นต้องเป็นเรื่องราวของงานที่เกี่ยวข้องกับเค้านะเพราะหากคุณจะฝากงานนอกเหนือจากความรับผิดชอบเป็นใครก็คงไม่อยากจะยอมช่วยทำในสิ่งนั้นๆหรอก
แค่การเรียกชื่อเมื่อพูดคุยกับพวกเขาก็ทำให้ทุกอย่างดำเนินไปได้อย่างราบรื่นแล้ว
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่จำชื่อของใครต่อใครได้ยากแล้วละก็เราอยากให้เพื่อนเพื่อนลองให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มากขึ้นอีกสักหน่อย เพราะว่าเพื่อนเพื่อนทราบหรือไมละว่าหากคุณสามารถใช้ชื่อเรียกแทนตัวเค้าในระหว่างการสนทนาไม่ว่าจะกับใครก็ตาม มันจะสามารถเพิ่มความไว้วางใจหรือความรู้สึกดีดีที่มีต่อตัวเราได้ ทำให้ถึงแม้ว่าเราจะบอกปฏิเสธคำขอบางอย่าง(คุณควรมีเหตุผลประกอบสักหน่อยละ) มันก็จะทำให้เค้ารู้สึกกับเราไม่แย่มากนั้น
และสิ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกเช่นนี้ก็เพราะว่าชื่อนั้นคือว่าเป็นตัวแทนของบุคคลเลย และเค้าเหล่านั้นร่วมไปถึงตัวตุณเองด้วยเพราะเวลาที่เราได้ฟังชื่อตัวเองนั้นจากคู่สนทนาจะทำให้เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้น นั้นคือคุณเป็นคนสำคัญสำหรับเค้าและรู้สึกสนิทสนมมากกว่าใครสักคนที่ไม่สามารถบอกชื่อของคุณได้ ตัวอย่างเช่นในร้านอาหารหรือร้านน้ำเวลาที่เราไปเป็นลูกค้าแล้วเจ้าของร้านสามารถบอกชื่อของเราและขนมที่เราทานได้พวกเราก็มักจะเลือกที่จะไปอุดหนุนร้านนั้นบ่อยๆเพราะเราจะรู้สึกคุ้นเคยและเป็นคนสำคัญของร้านนั้นๆยังไงละ
การมองสบตาเล็กน้อยก่อนจะตอบรับคำขอจะช่วยทำให้เค้าจดจำสถานการณ์นี้ได้ง่ายขึ้น แต่หากคุณสบตานานมากขึ้นจะทำให้อีกฝ่ายอึดอัดและอยากจะรีบจบการสนทนา
เป็นเพราะการสบตาจะช่วยสร้างความจดจำที่ดีขึ้นเพียงแต่คุณจะต้องทำมันที่ละน้อยๆเท่านั้น เพราะห่างคุณสบตากับเค้านานเกินไปหรือบ่อยเกินไปในระหว่างบนสนทนานั้นจะถูกเปลี่ยนเป็นความอึดอัดของคู่สนทนาแทนได้ ซึ่งคุณสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในเวลาที่คุณอยากจะจบการสนทนาหรืออาจจะตอบปฏิเสธเพราะการสบตาตรงๆ และนานพอตอนพูดออกไปนั้นจะทำให้อีกฝ่ายอึดอัดเองและจะรีบจบบทสนทนานั้นด้วยตัวยเค้าเอง
สำหรับเพื่อนบางคนที่ชอบปฏิเสธสิ่งต่าง ๆ ไว้ก่อนคุณจะต้องทำใจให้เย็นและเตรียมบทสนทนาให้พร้อมสำหรับคนเหล่านี้
อันที่จริงแล้วต้องบอกว่าเพื่อนที่มีลักษณะการตอบปฏิเสธคำขอต่าง ๆ แทบจะทันทีนั้นก็มีให้เราเห็นได้ไม่น้อยเลย ซึ่งอันที่จริงแล้วพวกเค้าแทบจะไม่ได้ฟังหรือไม่ได้ยินคำขอของเราด้วยซ้ำไป แต่เราก็มีวิธีการรับมือบางอย่างกับเพื่อนแบบนี้ โดยคุณอาจจะต้องเตรียมคำพูดบางอย่างเพื่อให้เพื่อนของคุณเปิดใจหันมาสนใจที่จะเริ่มฟังคุณก่อนที่จะขอให้เค้าเหล่านั้นช่วยเหลือคุณ เช่น “ฉันคิดว่าคุณเข้าใจฉัน” เพราะนั้นจะทำให้เค้ารู้สึว่าเป็นมิตรและเป็นคนพิเศษสำหรับคุณและนั้นก็จะทำให้เค้าเริ่มที่จะมาฟังคุณมากขึ้น หรือจะลองใช้ประโยคว่า “จะมีประโยชน์อะไรในการคุยกับคุณ ถ้าคุณไม่ฟังฉันเลย” ซึ่งเป็นการบอกนัยๆว่าลองฟังเราหน่อยนั้นเอง และคุณอาจจะใช้ประโยคเปรียบเทียบเพื่อทำให้เค้ารู้สึกอยากฟังคุณก็ได้อย่างเช่น “ถ้าคุณไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่ง่ายที่สุดได้ บางทีคุณไม่ต้องการที่จะเข้าใจฉัน” จะเห็นได้ว่าอันที่จริงเมื่อเค้าเริ่มฟังอย่างตั้งใจก็จะทำให้เค้าค่อยๆเปิดใจและค่อยๆช่วยเหลือเรามากขึ้นนั้นเอง ดังนั้นครั้งต่อไปที่คุณต้องขอให้เพื่อนแบบนี้ช่วยละก็คุณต้องเตรียมบทพูดของคุณให้พร้อมเพื่อโน้มน้าวให้เค้าเริ่มฟังคุณอย่างเปิดใจนั้นเอง
ในเวลาที่อาจจะต้องถกเถียงกันคุณจะต้องใจเย็นลงสักหน่อยเพราะหากใช้อารมณ์กันทั้งคู่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เพียงแต่คุณจะต้องมีทักษะในการรับฟังสักหน่อยเท่านั้นเอง
มันเป็นไปได้ที่เราอาจจะต้องถกประเด็ดใดๆกับเพื่อนร่วมงานแล้วเกิดความเห็นที่ไม่ตรงกันและเมื่ออีกฝ่ายเริ่มที่จะออกอาการขึ้นเสียงแล้วเริ่มออกนอกเหตุผลนั้นสิ่งที่จะทำให้เรื่องราวไม่ขยายใหญ่โตขึ้นก็คือตัวเรานั้นเอง เพราะหากเรายังถกกันด้วยเหตุผลส่วนตัวต่อไปคงไม่มีอะไรดีขึ้นทางออกที่ดีก็คือให้คุณเป็นผู้ฟังที่ดีโดยอาจจะต้องใช้จินตนาการสักหน่อยเหมือนกับว่าคนเหล่านั้นกำลังพูดอยุ่คนเดียวโดยคุณอาจจะนั่งอยู่อีกฝั่งของประจกหรือมีอะไรบางอย่างมากันระหว่างคุณกับเค้า ทำให้เค้าเหมือนพูดสิ่งที่ต้องการเรื่อยๆโดยคุณแค่จับประเด็นเหล่านั้นเก็บไว้แล้วปล่อยสิ่งอื่นไป เมื่ออีกฝ่ายพูดจบแล้วก็ค่อยๆ ขอจบการสนทนาก่อนแล้วค่อยเอาประเด็นที่เก็บมาได้หาข้อมูลแล้วนำกลับมาคุยกันใหม่นั้นจึงจะเป็นการทำงานที่เหมาะสมนั้นเอง
ขอบคุณเรื่องราวดีๆจาก brightside – เรียบเรียงโดย BTW